เกม mmorpg เป็น เกมส์ที่ผู้เล่นหลายคนเข้ามาเล่นในเวลาเดียวกัน และเสมือนอยู่ในโลกเดียวกัน โดยผ่านระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ และผู้เล่นแต่ละคนจะสวมบทบาทเป็นตัวละครตัวหนึ่งในโลกนั้นด้วย
เกม mmorpg คือเกมส์คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีต้นกำเนิดในปี ค.ศ. 1970 โดยเริ่มต้นจากเกมส์ประเภท MUD ที่ใช้การ TelNet เข้าไปยัง Server ของเกมส์ เพื่อเล่น โดย MUD จะมีระบบเกมส์ที่เป็นตัวหนังสือล้วนๆ ต่อมามีการพัฒนาเป็น Text-Based Game ซึ่งมีทั้งการเล่นบนคอมพิวเตอร์เช่นเกมส์ Adventure และ Zork หรือเล่นบนแผ่นกระดาษ เช่น Dungeons & Dragons
Text-based mmorpg เกมส์แรกจริงๆนั้นเกิดขึ้นในปี 1984 คือเกมส์ Islands of Kesmai ซึ่งพัฒนาโดย Kelton Flinn และ John Taylor โดยมีค่าบริการในการเล่น ชั่วโมง ละ 12US$
ต่อมาในปี 1988 บริษัท LucasArts ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหนังเรื่อง Star Wars ได้พัฒนาระบบ Graphic ขึ้นมา ซึ่งระบบนี้ให้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถ Chat และแลกเปลี่ยน ไอเทมต่างๆกันได้ โดยระบบนี้ได้ถูกใช้กับ Club Caribe ซึ่งเป็นเกมส์สำหรับผู้ที่ใช้ระบบเครือข่ายของ AOL ในอเมริกา แต่น่าเสียดาย Club Caribe ไม่ใช่เกมส์จริงๆ คล้ายๆกับว่ามันเป็นเพียงแค่โปรแกรม Chat ที่พัฒนาแล้วเท่านั้น เพราะผู้เล่นทำได้แค่ เปลี่ยน Avatar หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือ Chat กัน
เกมส์ mmorpg ที่เป็นระบบ Graphic จริงๆเกมส์แรก จริงๆนั้นคือ Neverwinter Nights ที่ถูกพัฒนาโดย Game Designer ชื่อ Don Daglow และ Programmer ชื่อ Cathryn Mataga โดยเกมส์นี้ถูกรันใน AOL ตั้งแต่ปี 1991 และแพร่หลายทั่วไปในปี 1997 โดยเกมส์นี้ได้รับรางวัลชนะเลิศจาก Steve Case ผู้ก่อตั้ง AOL ด้วย ส่วนค่าบริการนั้นอยู่ที่ 6US$ ต่อชั่วโมง
หากจะกล่าวถึง เกม mmorpg เกมส์แรกที่ประสบความสำเร็จนั้น หลายคนคงจะนึกถึง Ultima Online เกมส์ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานแห่ง เกม mmorpg แต่จริงๆแล้ว มีเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้า Ultima Online (ถึงแม้ว่าจะตายไปในเวลาต่อมาก็ตาม) นั่นคือ The Realm Online ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท Sierra Online ในปี 1996 โดย The Realm นั้นคือ MMORPG เกมส์แรกที่ ประสบความสำเร็จจริงๆ ซึ่งมันมีลักษณะ Graphic แบบ 2 มิติ ระบบของเกมส์ใช้ระบบเลเวล และต่อสู้ด้วยระบบ Turn Base เช่นเดียวกันกับ Dungeons & Dragons
ใน ปี 1997 Ultima Online ได้พลิกโฉมวงการ MMORPG ด้วยการเปลี่ยนระบบการเก็บค่าบริการเป็นรายเดือน จากเดิมที่ MMORPG จะเก็บเป็นรายชั่วโมง ซึ่งกลยุทธ์ราคาแบบใหม่นี้ได้สร้างแรงจูงใจมากมายให้กับบรรดา Gamer ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องค่าบริการที่สูงมากในการเล่นเกมส์ MMORPG โดยทาง Ultima Online ได้เก็บค่าบริการในราคา 10 US$ ต่อเดือน ซึ่วิธีการนี้ได้ทำให้ Ultima Online ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของ MMORPG แบบเดิมๆ ที่ผู้เล่นจะเข้ามาเพื่อเล่นๆๆ โดยไม่สนใจคนอื่น เนื่องจากกลัวจะเปลืองค่าชั่วโมง แต่หลังจากเปลี่ยนเป็นระบบรายเดือน ผู้เล่นเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ทกับผู้เล่นคนอื่นๆมากขึ้น มีการพูดคุย มีการสมาคมกัน จนทำให้บรรดา Gamer นั้นยกย่องว่า Ultima Online คือเกมส์แรกที่สามารถใช้คำว่า massively multiplayer ได้อย่างสมภาคภูมิ
จาก ยุโรปและอเมริกา กระแสของ MMORPG ได้รับความนิยมมายัง เอเชียอย่างรวดเร็ว โดยในเกาหลีเหนือ Programmer ชื่อ Jake Song ได้พัฒนาเกมส์ที่ชื่อว่า Nexus: The Kingdom of the Winds ขึ้นมาในปี 1996 ซึ่งเกมส์นี้ได้รับความนิยมจากบรรดา Gamer อย่างรวดเร็ว จนมีสมาชิกทะลุหลักล้านคน จากความสำเร็จนี้ ต่อมาในปี 1998 Jake Song ได้สร้างความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นมาอีกโดยการเข้าร่วมกับบริษัท NC Soft และพัฒนาเกมส์ที่ชื่อว่า Lineage ขึ้นมา โดย Lineage สามารถทำยอดสมาชิกถึงหลักล้านได้ในเวลาอันรวดเร็ว และแพร่ขยายไปยังประเทศอื่นๆเช่น เช่นใต้หวัน และการประสบความสำเร็จครั้งนี้นั่นเอง ทำให้บริษัท NC Soft สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการ MMORPG ได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
ต่อมาในปี 1999 บริษัท Sony Online Entertainment ได้พัฒนาเกมส์ MMORPG แนว แฟนตาซี ขึ้นมาชื่อว่า EverQuest โดยเกมส์นี้ถือว่าเป็นเกมส์ MMORPG ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกา โดยในปัจจุบัน EverQuest มีภาคเสริมออกมามากถึง 10 ภาค และนอกจากจะได้ลงหนังสือเกมส์ทุกเล่มแล้วหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับเกมส์อย่าง เช่น Time และหนังสืออื่นๆก็ยังสนใจที่จะนำข้อมูลของ EverQuest ไปลงด้วย นอกจากนั้นแล้ว EverQuest ยังได้รับความสนใจและถูกกล่าวขานถึงอยู่ตลอดเวลาในการพูดคุยของบรรดา Gamer
ใน ปีต่อมา Asheron’s Call ได้ถูกพัฒนาขึ้นและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างจนเทียบเท่ากับ นักเลงรุ่งเก๋าอย่าง Ultima Online และ Ever Quest จนในบางครั้ง Gamer ชาวอเมริกันในยุคนั้น จะเรียกว่า “Big Tree” ซึ่งหมายถึง Ultima Online, EverQuest และ Asheron’s Call โดยสามเกมส์นี้เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่ง MMORPG แนว Fantasy เลยก็ว่าได้ แต่ในบรรดาทั้ง 3 ยักษ์นี้ เกมส์ที่ดูแล้วจะมีแววสดใสมากกว่าเกมส์อื่นนั้นก็คือ Ultima Online แห่งค่าย Origin ซึ่งในขณะนั้น Origin ได้เริ่มต้นพัฒนา Ultima Online 2 ออกมาเพื่อรองรับตลาด MMORPG ในอนาคตก่อนเกมส์อื่นๆ